บทสัมภาษณ์ของชเวคังฮี : นักร้อง ซูยอง

การพบปะกับซูยอง วงโซนยอชิแด

ในเดือนพฤษภาคม วันนั้นเป็นวันเด็ก ฉันถึงที่นัดก่อน แล้วก็มีรถถึงตามมาทีหลัง พอประตูรถเปิดคนต่างๆก็ทยอยกันลงดูวุ่นวายไม่น้อย พวกเขาค่อยๆเข้ามาในร้านที่ฉันอยู่ และนั่นก็คือเธอและทีมงานของเธอ พวกเขาเดินมาข้างหน้าของฉันพร้อมกับทักทาย "สวัสดีค่ะ?" เธอสวยมากจริงๆ เหมือนกับแสงอุ่นๆในฤดูใบไม้ผลิ

"โบสถ์โซมัง(ความหวัง), และโบสถ์โจบึนกิล(ทางเดินแคบๆ)" หลังจากที่ฉันถามถึงโบสถ์ที่เธอเข้าร่วม เธอก็ตอบชื่อโบสถ์กลับมา 2 ที่ "ปกติแล้ว ฉันจะเข้าโบสถ์กับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ และฉันก็ชอบที่จะเข้าโบสถ์นะคะ แต่ก็มีการช่วยงานอย่างอื่นด้วยที่ฉันชอบทำ ฉันเลยร่วมช่วยงานในโบสถ์กับคุณพ่อคุณแม่ของฉันที่โบสถ์โจบึนกึลเป็นแห่งที่สองค่ะ" ความประทับใจครั้งแรกของฉันที่มีต่อเธอ ฉันชอบคนที่มีมารยาทค่ะ พวกคุณคงสงสัยว่าจู่ๆทำไมฉันถึงพูดเรื่องนี้ .. แต่ฉันคิดว่าคุณสามารถมองเห็นคนที่กิริยามารยาทดีได้จากการใช้เวลาของพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาเชื่อหรือนับถือค่ะ

กิจกรรมทางศาสนาในปีแรกๆ
ซูยอง: ตอนแรก ฉันอาศัยอยู่ที่โซลค่ะ แล้วก็ย้ายไปที่เมืองควังจู จังหวัดยองกี ที่นั่นก็มีโบสถ์ที่ฉันเข้านะคะ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ย้ายกลับมาอยู่ที่โซลอยู่ดี ฉันชอบไปเข้าโบสถ์ตอนเช้าๆค่ะ *หัวเราะ*
คังฮี: ด้วยความที่คุณยังอายุไม่มาก คุณเป็นคนที่เคร่งศาสนาแบบนี้เสมอเลยหรือเปล่า?
ซูยอง: ไม่นะคะ! เมื่อก่อนเคร่งกว่านี้ค่ะ *หัวเราะ*
คังฮี: จริงหรอ?
ซูยอง: ใช่ค่ะ... ตอนมัธยมฉันเคร่งศาสนาพอควรค่ะ ตอนเริ่มเทรนด์ ฉันทำอยู่แค่ไปกลับหอและเข้าร่วมกิจกรรมที่โบสถ์ค่ะ
คังฮี: คุณเป็นคนที่ไม่หยอกล้อหรอ
ซูยอง: ไม่นะคะ ฉันเป็นคนที่ตัดสินอะไรด้วยเหตุผลค่ะ แล้วก็พูดแต่ความจริงกับสมาชิกในวงค่ะ ฉันมักจะให้ความเห็นแบบ "ทำแบบนี้ถูกแล้ว พวกเธอควรทำอย่างนี้นะ" แบบนี้ค่ะ ในเวลานั้น ฉันคิดถึงแต่สิ่งที่สมควรทำ และถ้าเราทำแบบนั้น ฉันก็เชื่อว่ามันจะออกมาดียิ่งขึ้น

อยากสารภาพว่า จริงๆแล้วฉันคิดเอาไว้ว่าซูยองคงเป็นคนที่ พอหลังบอกราตรีสวัสดิ์กับผู้จัดการแล้ว ซูยองคงแกล้งนอนหลับ แล้วก็ลืมตาขึ้นออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ไปทำในสิ่งที่เธอทำไม่ได้ในตอนกลางวัน คิดว่าเธอคงแอบหนีไปเที่ยวตลาดดงแทมุน หรือไปดูหนังรอบกลางคืน ไปนัดเดท ... ไม่มีใครเคยบอกอะไรฉันหรอกค่ะ แล้วทำไมฉันถึงมีความคิดแบบนี้ได้เนี่ย?

ซูยอง: ฉันสนิทกับสมาชิกโซชิทุกคนค่ะ *หัวเราะ* แล้วฉันไปทำให้พวกเขารำคาญบ้างหรือเปล่านะ ในบางครั้ง แม้ว่าที่เราทะเลากันบ้าง ฉันจะคิดว่าสิ่งที่ฉันเชื่อคือสิ่งที่ถูกค่ะ เพราะฉันเป็นคนที่มีนิสัยแบบนี้ ฉันไม่ใช่พวกที่ชอบดื่มแล้วใช่ชีวิตไปวันๆหรอกนะคะ วันนึงทิฟฟานี่เคยบอกฉันว่าไม่ให้ทำตัวแบบนั้นค่ะ ฟานี่เองก็นับถือศาสนาคริสต์ เธอบอกฉันว่า "หากเธอทำตัวแบบนั้น แล้วคนอื่น คนที่เริ่มจะสนใจพระเยซูจะคิดยังไงกัน?" ก่อนเราจะขึ้นไปทำการแสดงบนเวที ฉันจะจับมือกับฟานี่แล้วอธิษฐานค่ะ ฉันชอบการที่เราสามารถมารวมใจกันเป็นหนึ่งแล้วอธิษฐานกันอย่างงั้น รวมถึงก่อนเราไปออกรายการทอร์กโชว์สำคัญๆที่อเมริกา เราก็อธิษฐานด้วยกันค่ะ พอนานวัน ก่อนขึ้นแสดงคอนเสิร์ต เหล่าสมาชิกที่ไม่ได้นับถือศาสนาก็จะมาขอให้พวกเราช่วยเป็นตัวแทนอธิษฐานให้วงและพวกเขาเองด้วยค่ะ มันทำให้ฉันรู้สึกดีใจและรู้สึกขอบคุณมากๆ

ซูยอง: ฉันคิดว่าช่วงเวลาเหล่านี้คือสิ่งที่ฉันต้องการในชีวิตของฉันค่ะ และก็เช่นเดียวกันว่าเป็นช่วงเวลาที่เราควรให้มันผ่านพ้นไป ฉันพยายามนึกถึงสิ่งนี้มาโดยตลอด แล้วนั้นก็ *หัวเราะ* ราวกับเป็นเด็กที่ติดอยู่ในขวด แต่ตอนนี้ฉันก็ทราบแล้วค่ะว่าทำไมพระเจ้าถึงให้ฉันทำแบบนั้นมาโดยตลอด เมื่อก่อนที่ฉันทำเป็นแบบนี้เพราะกิจกรรมของฉันค่ะ ชีวิตฉันมีแค่อยู่หอ, แล้วก็ช่วงสุดสัปดาห์ก็มีคุณแม่! แล้วก็เข้าโบสถ์! แล้วก็ไปเจอกับพวกเด็กๆแถมพวกเขายังเป็นผู้หญิงทั้งหมด เหมือนอยู่หอเลยค่ะ แน่นอนว่าสมัยนั้นฉันไม่สามารถออกไปเทียวเล่นที่ไหนได้ แต่ฉันก็ไม่ชอบที่จะทำแบบนั้นนะคะ ตอนนี้ต่อให้คิดถึงเรื่องนั้นแล้ว ฉันก็ไม่ชอบออกไปเที่ยวเล่นค่ะ ไม่ชอบออกไปดื่มหรืออะไรแบบนั้น ต่อให้ฉันอยากจะออกไปเที่ยวเตร่ ฉันก็จะไม่ทำค่ะ แต่ฉันก็คิดว่าสิ่งที่ฉันไม่เคยนึกถึงเลยก็อาจจะเป็นการคุ้มครองจากพระเจ้าค่ะ


การคุ้มครองของพระองค์ ในช่วงวัยเกิร์ลกรุ๊ป

ซูยอง: หากฉันไม่มีที่พักพิงในใจแล้ว ... การที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ เป็น 1 ใน 9 ของสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ป การเป็นเพียงสมาชิกคนนึง ไม่ได้เป็นคนที่ได้รับความนิยมที่สุด บางครั้งหากเพลงยาว 3 นาที บางคนก็ไม่ได้ท่อนร้องค่ะ ใครร้องดีก็ได้ร้องไป ในโลกนี้การเป็นคนที่สวยน้อยกว่าคนอื่นเป็นการอธิบายถึงตัวตนเราได้เหมือนกันนะคะ ฉันไม่เคยทราบมาก่อนว่า 'อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ขายเสียงหัวเราะ' แต่ฉันก็ค่อยๆเข้าใจมันค่ะ โดยใช้เวลาพอควรเลย หากปราศจากความสุขในการใช้ชีวิตแล้ว ฉันไม่คิดว่าฉันจะทนได้หรอกค่ะ แต่พอวันนึงที่ฉันได้หยุดพัก ฉันก็ไปพบกับครอบครัวของฉันแล้วก็ไปทำกิจกรรมที่โบสถ์กันค่ะ หลังจากกลับมาจากโบสถ์แล้ว ฉันค่อนข้างจะรู้สึกสงบในใจค่ะ

ซูยอง: แม้ว่าฉันจะมีท่อนร้องเพียง 5 วินาที แม้ว่าเสียงเชียร์ของฉันจะเบา แต่ฉันก็รู้ค่ะ ว่าที่ตรงนั้นคือที่ของฉัน ฉันสนุกไปกับมัน แค่นั้นก็รู้สึกสุขและสงบใจแล้ว ฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือความกรุณาของพระผู้เป็นเจ้าค่ะ จริงๆแล้วมันอาจจะไม่สนุกก็ได้ หากในช่วงเวลานั้นเราหลบซ่อนตัวเอง เวลาที่เราต้องปรบมือให้ใครคนอื่นก่อนตัวของเรา หากเราอิจฉาใคร ในช่วงเวลาเหล่านั้นเราก็อาจจะเกลียดตัวเองก็ได้นะคะ แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้นฉันกลับรู้สึกผ่อนคลาย คงเป็นเพราะความกรุณาของพระองค์ค่ะ

ความเชื่อกลายเป็นคำสารภาพ
ซูยอง: ตอนที่คุณพ่อคุณแม่ของฉันถามฉันว่าจะทนกับเรื่องนี้ต่อไปอีกแค่ไหน ฉันตอบพวกท่านด้วยความเชื่อค่ะ "แม่คะ ทุกคนมีคราวของตัวเองทั้งนั้นแหละค่ะ คราวของฉันกำลังจะมาในเร็วๆนี้แหละ" ฉันคิดว่าพระเจ้าสอนให้ฉันเป็นคนที่รักความสงบค่ะ ตอนนั้นฉันอายุเพียง 17 ปี ฉะนั้นตอนนี้เมื่อฉันเห็นรุ่นน้อง ฉันทราบดีค่ะว่าพวกเขามีอะไรอยู่ในใจ หากที่ใดมีแสงสว่างที่นั่นก็มีความมืด ตอนที่เรายืนอยู่ท่ามกลางความมืดไร้แสงสว่างเป็นอะไรที่ยากมากๆเลยนะคะ หากเราเชื่อว่าแสงสว่างไม่เคยหายไป เมื่อความเชื่อมอบโอกาสให้เราบนถนนเส้นนี้ของเราแล้ว ฉันก็จะพิสูจน์ให้เห็นค่ะว่าแสงสว่างมีจริง ถ้ามองดูฉันในตอนนี้แล้ว ฉันทำงานคนเดียวและมีความสุขและรู้สึกขอบคุณมากๆค่ะ ในตอนนั้นฉันคงไม่มีความโลภ/ต้องการอย่างเช่นที่มีในตอนนี้
คังฮี: ตอนนี้คุณรู้สึกโลภ/ต้องการ?
ซูยอง: ค่ะ .. ฉันก็มีความโลภ นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อก่อน หากยังไม่ถึงคราวของฉัน, หรือฉันไม่ได้รับมอบโอกาสนั้น, หรือฉันไม่สามารถแสดงได้ตามที่ต้องการ ฉันจะทำตามคำสั่งของพระองค์ได้หรือเปล่านะ? ในตอนนั้นคงคิดว่าได้อย่างทันทีค่ะ "ได้สิ ฉันต้องทำให้ได้" แต่ตอนนี้ฉันมีอะไรหลายอย่างอยู่ในมือค่ะ ฉันเริ่มคิด "อ่า... ฉันไม่คิดว่าฉันจะทำได้นะ"

พระเยซู พระองค์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในใจของฉัน
คังฮี: เคยรู้สึกหดหู่ทุกข์ใจบ้างไหม?
ซูยอง: ไม่ค่ะ ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว
คังฮี: คุณรู้ได้อย่างไรว่าหัวใจและสมองของคุณสามารถการคุ้มครองแบบนี้ได้?
ซูยอง: คุณแม่ของฉันค่ะ
คังฮี: คุณแม่ของคุณพูดว่าท่านบอกว่าท่านทุกข์ใจหรอ?
ซูยอง: ค่ะ ... ฉันไม่สามารถให้ในสิ่งที่ฉันได้รับได้.. คุณแม่เลยมารวมใจกับฉันค่ะ ในโลกนี้ เมื่อเราพบเจอกับสิ่งที่ยากลำบาก เราก็ควรจะมีใครสักคนมาอยู่เคียงข้างเรา หากเราไม่มีแล้วมันเป็นอะไรที่เจ็บปวดนะคะ คนที่สามารถมาอยู่ข้างฉันและนั่งฟังเรื่องราวของฉันได้และคนที่สามารถอธิษฐานเพื่อฉันได้ นั่นคือคุณแม่ของฉันค่ะ และพระเยซู ... คนที่สามารถรักฉันได้แม้ว่าฉันจะกลายเป็นคนที่ไม่สวย หรือต่อให้ฉันขาหักจนเต้นไม่ได้ พระองค์ผู้ที่จะบอกว่าฉันทำมันได้ดีที่สุดแล้วและจะโอบกอดฉันไว้ตลอดไปในทุกครั้งที่ฉันวิ่งเข้าไปหา พระองค์ที่ใส่ใจฉัน พระองค์ที่เคียงข้างฉัน ฉันคิดว่าพระเยซูคือจุดเริ่มต้นของใจฉันค่ะ เวลาเราคิดว่าสิงเหล่านี้ต้องเป็นไปตามนี้นะ นั่นเป็นอะไรที่เปล่าประโยชน์ค่ะ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราไม่ใช่ทุกอย่าง ฉันลองทำทุกอย่างและฉันก็คิดว่าหน้าที่ของฉันคืออีกส่วนึง แน่นอนว่าเวลาตั้งใตทำงาน ฉันไม่ได้เอาทุกอย่างมากองรวมกันในทีเดียว หากฉันล้มลงฉันก็จะสามารถลุกขึ้นมาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างของฉันมีพระองค์เกี่ยวข้องเสมอค่ะ
คังฮี:
ซูยอง:


กับใครคนนั้นที่จะรู้สึกถึงตัวตนของฉัน
ซูยอง: แต่ก็อย่างที่คาดไว้ค่ะ ฉันเคยอธิษฐานต่อพระเจ้า ฉันหวังว่าฉันจะสามารถเจอใครสักคนในวงการบันเทิงนี้ ใครคนที่คิดว่าฉันสามารทำได้ค่ะ... อธิษฐานขอให้ฉันเจอคนนั้น 'ฉันต้องการแค่คนนั้นสักคน! คนที่จะรับรู้ถึงความสามารถของฉัน!' จริงๆนะคะ สารภาพเลย *หัวเราะ* และนี่ก็คือเรื่องราวการได้มาเจอจองผู้กำกับอีแจดงค่ะ หลังจากเขาแคสนักแสดงไปแล้ว ผู้กำกับก็ดูโปรไฟล์ของฉันเพื่อจะแคสบทรอง พอเห็นภาพฉันแล้ว เขาก็บอกว่า "ทำไมเราไม่ลองให้เด็กคนนี้มาเล่นดูนะ?" แต่พวกคุณคงทราบดีค่ะว่าไม่มีอะไรเป็นไปตามอย่างที่ใจเราหวังอย่างง่ายดายเสมอไป เราไม่สามารถจะให้คนทุกคนที่เราอยากแสดงมาแสดงหรอก หรือต่อให้ผู้กำกับมั่นใจ แต่ก็คงได้รับคำค้านจากคนอื่นๆบ้าง หรือไม่ก็โดนปฏิเสธจากเบื้องบน เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้เสมออย่างไม่คาดคิดค่ะ แต่ทุกอย่างก็สามารถผ่านพ้นไปได้อย่างดี ผู้ดูแลที่อยู่สูงกว่าผู้กำกับเป็นคนที่มั่นใจในฝีมือเขาเลยตกลงโอเคกับการแคสบทนักแสดงค่ะ
คังฮี: ว้าว
ซูยอง: สำหรับฉันแล้ว ผู้กำกับต้องเป็นแบบนี้แหละค่ะ คนที่สามารถค้นพบสิ่งที่ซ้อนอยู่ข้างในตัวของฉันได้ บางคนอาจจะมีอคติว่าผู้กำกับเป็นพวกคนหยาบกร้าน แต่นั่นไม่ใช่ความจริงเลย หากเป็นแบบนั้นแล้วคนแบบนั้นจะสามารถกำกับหนังที่ดูแล้วอบอุ่นไปทั่วหัวใจได้หรอคะ [My Spring Days, Thank You, I Miss You, Can